วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ซึ่งๆ by maroon 5



เนตรวงแหวนของตระกูลอุจิวะ จากการ์ตูนเรื่อง นารูโตะ

เนตรวงแหวนมีความสามารถในการมองรูปแบบ นินจุตสุ (วิชานินจา), เกนจุตสุ (วิชาภาพลวงตา) และ ไทจุตสุ (กระบวนท่า) ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และ ผู้ใช้สามารถก๊อปปี้กระบวนท่าและวิชาเดียวกันมาใช้ได้ นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการสะกดจิต และ อ่านการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ ส่วนการเลื่อนระดับความสามารถต้องได้มาจากการฝึกฝนหรือพรสวรรค์ของแต่ละคน
ไม้ตายของเนตรวงแหวนแก้ไข
1.อ่านทิศทางการโจมตีคู่ต่อสู้
2.มองการร่ายคาถาได้อย่างสมบูรณ์
3.ใช้ภาพลวงตา
4.มองจักระคู่ต่อสู้
5.เทพบิดร อิซานางิ เปลี่ยนแปลงและบิดเบือนชะตากรรมของตนเอง ทำให้เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราเช่นความตาย ความเจ็บปวด หรืออะไรก็ตาม จะกลายเป็นเพียงความฝันหรือทำให้การโจมตีที่คิดเป็นจริงได้ แต่ดวงตาที่ใช้อิซานางิ จะบอดไปตลอดกาล
6.เทพมารดร อิซานามิ สามารถกำหนดโชคชะตาผู้อื่นได้ ทำให้เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผู้โดนวิชานี้ติดอยู่ในวังวนที่ตั้งแต่เริ่มใช้จนเวลากลับมาแบบไม่มีที่สิ้นสุดโดยวิชานี้ไม่ได้ใช้ในการมองแต่เป็นประสาทสัมผัส สามารถออกจากวังวนของอิซานามิโดยผู้โดนวิชานี้จะต้องยอมรับโชคชะตาของตัวเอง เมื่อใช้แล้วตาตนเองจะบอดไปตลอดกาล เป็นคาถาที่มาคู่กับอิซานางิ เพื่อแก้ทางกัน
เนตรกระจกเงาหมื่นบุปผา
เหมือนกับก่อนหน้านี้แต่ทรงพลังขึ้นเป็นสิบ ๆ เท่า ที่เพิ่มมาคือ
1.เทพวายุ สุซาโนโอะ คือเทพพิทักษ์ที่ซ่อนอยู่ในเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา เป็นเทพพิทักษ์ที่มีพลังโจมตีและป้องกันสูงสุดและจะปกป้องคนที่เรียกออกมา ความสมบูรณ์ของเทพวายุขึนอยู่กับความสามารถของผู้ใช้ โดยร่างสุดท้ายมีลักษณะคลายกับ เท็งงุ ที่มีหน้าเป็นคนจมูกยาวและมีปีก เงื่อนไขในการใช้ต้องมีเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผาทั้งสองข้างไม่งั้นร่างกายจะรับภาระมากเกินไปที่จะรับได้
2.อ่านจันทรา ก็คือการสะกดภาพลวงตาขั้นสุดยอดด้วยตาข้างซ้ายเพื่อทำลายระบบประสาทอย่างหนักหน่วงของคู่ต่อสู้โดยตรง เป็นความสามารถเฉพาะเนตรของ อิทาจิ
3.เทวีสุริยา เมื่อใช้ใช้อ่านจันทราจนชินแล้ว ดวงตาข้างขวาจะสามารถใช้เทวีสุริยาได้ เทวีสุริยาคือเพลิงสีดำที่ไม่มีวันดับ เพียงแค่โฟกัสไปที่จุด ๆ หนึ่งเพลิงดำจะลุกและเผาจนสิ่งที่ถูกจ้องจนไหม้หมด เป็นความสามารถเฉพาะเนตรของ อิทาจิ, ซาสึเกะ
4.เทพต่างสวรรค์ วิชาลวงตาที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นวิชาเนตรที่สามารถควบคุมคนที่เป็นเป้าหมายได้โดนไม่รู้ตัวด้วย เป็นความสามารถเฉพาะเนตรของ ชิซุย

ระดับการพัฒนาแก้ไข

ขั้นเบิกเนตร
1.เนตรวงแหวน วงแหวน 1 วงแทนสัญลักษณ์ที่อ่อนแอที่สุดของเนตรนี้ มีความสามารถมองความไวในการร่ายคาถา
2.เนตรวงแหวนชางิ วงแหวน 2 วงแทนเนตรที่ยังไร้พลังอันแข็งกล้า สามารถก๊อปปี้วิชาบางส่วนและอ่านจักระของผู้ต่อสู้ด้วยได้
3.เนตรวงแหวนชารินกัน วงแหวน 3 วงแทนเนตรที่ได้พลังมาแล้วเรียบร้อย ความสามารถในการก๊อปปี้วิชาและการอ่านวิชาของผู้ต่อสู่ด้วย
ขั้นเปิดนรก
ความลับในการเลื่อนระดับความสามารถของเนตรคือต้องได้รับความทุกข์จากการฆ่าชีวิตหรือเห็นใครก้ได้อันเป็นที่รักตายต่อหน้าต่อตาเพื่อรับความทุกข์เพื่อให้ตนเองได้พลังมา
4.เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา (มังเง็คคโยชาริงกัน) สามารถใช้วิชาเนตรที่ทรงพลังได้ 3อย่างคือ เทวีสุริยาจากตาขวา อ่านจันทราจากตาซ้าย และเทพวายุ แต่ยิ่งใช้มากจะทำให้ตาบอดหรืออาจถึงแก่ความตายได้ สามารถพัฒนาต่อได้โดยควักดวงตาตนเองออกไปและนำเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผาของผู้ของผู้อื่นที่มีสายเลือดอุจิวะเท่านั้นมาใส่แทนสามารถพัฒนาเป็นตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผานิรันคร์
5.เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผานิรันดร์ เป็นเนตรขั้นต่อจากเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผาจะเบิกได้โดยการ ฆ่าพี่น้องที่มีเนตรวงแหวนเหมือนกัน และ เอามาใส่ในดวงตาของตัวเอง ตาไม่บอดอีกต่อไป พร้อมทั้งรับบาปทั้ง 7
6.เนตรสังสาระ เป็นเนตรแบบพิเศษของเซียนหกวิถี การจะเบิกได้จะต้องเป็นผู้ที่สายเลือดของอุจิวะ และเซนจู แต่ต้องมีเนตรเหมือนทั้ง 2 ข้างถึงจะเบิกได้ ไม่งั้นจะเบิกไม่ได้ โดยสามารถใช้วิชาของเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผาได้

บุคคลที่ใช้เนตรวงแหวนเป็นอาวุธ
แก้ไข

1. อุจิวะ มาดาระ (เนตรสังสาระ) ผู้นำตระกูลอุจิวะในยุคก่อตั้งโคโนะฮะ เป็นคนแรกและคนเดียวที่เคยใช้เนตรวงแหวนควบคุมจิ้งจอกเก้าหางสู้กับโฮคาเงะรุ่นที่ 1

2. อุจิวะ อิซึนะ (เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา) น้องชายของมาดาระ

3. อุจิวะ อิทาจิ (เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา) สามารถใช้วิชาเนตรหลักได้ทั้ง 3 อย่างคือ อ่านจันทรา, เทวีสุริยา เทพวายุ ซึ่งใช้ฆ่าล้างตระกูลอุจิวะจนหมดสิ้นเหลือไว้เพียงซาสึเกะคนเดียว แต่อิทาจิเป็นคนมีโรคประจำตัวเยอะคาดว่าคงจะเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่ได้ ทำให้ไม่ค่อยใช้วิชาเนตรมากสักเท่าไหร่จะสงวนไว้ใช้พลังในยามคับขันจริง ๆ เท่านั้น

4. อุจิวะ ชิซุย (เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุผฝา) เพื่อนสนิทของอิทาจิ อิทาจิถูกหาว่าสังหารเพื่อนรักของเขาเอง เพื่อที่อิทาจิจะได้มาซึ่งเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา แต่ความจริงแล้ว ชิซุย ยอมตายเพื่ออิทาจิเพื่อ ภารกิจลับของอิทาจิ แต่ดันโซ หลอกใช้ซิซุย โดยการขโมย เนตร ของเขามาแล้วข้างหนึ่ง และชิซุย ได้ยกเนตร อีกข้างหนึ่ง ให้ อิทาจิ แล้วตายลงอย่างสงบ พลังเนตรของชิซุยกล่าวกันว่ามีพลังถึงขั้นสูงสุดของเนตรวงแหวนคือสามารถใช้พลังเนตรควบคุมจิตใจของผู้อื่นจนแม้แต่ผู้ที่ถูกควบคุมอยู่ไม่รู้ตัวว่าถูกควบคุม

5. อุจิวะ ฟุงากุ (เนตรวงแหวน) หัวหน้าตระกูลอุจิวะ เจ้าของเนตรวงแหวน พ่อแท้ ๆ ของอิทาจิและซาสึเกะ เป็นผู้ที่สอนคาถาไฟให้ซาสึเกะและเป็นคนแรกที่บอกเล่าถึงเรื่องเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา โดนอิทาจิสังหารในเหตุการณ์ฆ่าล้างตระกูล

6. คาคาชิ (เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผาข้างซ้าย) คาคาชิสามารถใช้เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา คือ สามารถย้ายสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเพ่งไปยังมิติอื่นได้ มาจากเพื่อนในสมัยเด็กคืออุจิวะ โอบิโตะ หลังจากไปช่วยรินที่ถูกศัตรูชิงตัวไป ซึ่งเพื่อนของเขาได้มอบเนตรวงแหวนให้กับ คาคาชิ ก่อนที่จะตาย เพื่อเป็นของขวัญที่ คาคาชิ สามารถสอบเป็นโจนินได้สำเร็จ

7. อุจิวะ ซาสึเกะ (เนตรสังสาระ) ทายาทคนสุดท้ายของอุจิวะ สามารถเบิกเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผาได้หลังจากการตายของอิทาจิและใช้มันในการต่อสู้กับ 8หาง เหล่าคาเงะ และดันโซ หลังจากพบว่าดวงตาข้างขวาบอด และข้างซ้ายการมองเริ่มขุ่นมัวลงเรื่อยซาสึเกะจึงตัดสินใจเปลี่ยนถ่ายเนตรของอิทาจิมาใส่ไว้ โดยไม่ทราบความสามารถของเนตรใหม่นี้แน่ชัด แต่มีความสามารถในการมองเห็นแม้แต่ในที่มืดได้ ปัจจุบันได้เบิกเนตรสังสาระได้ในการต่อสู้กับมาดาระหลังได้พบกับเซียนหกวิถี

8. อุจิวะ โอบิโตะ (เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา ข้างขวาและเนตรสังสาระข้างซ้าย) เป็นคนมอบเนตรวงแหวนข้างซ้ายของตนเองให้กับ คาคาชิ ที่เป็นเพื่อนรักกัน สามารถใช้เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา

9. ชิมุระ ดันโซ (เนตรวงแหวน ข้างขวา และแขนขวา10ดวง) มีเนตรวงแหวนข้างเดียวกับคาคาชิ โดยมีผ้าปิดตาอยู่ แต่ถูกนินจาติดตามมิซึคาเงะที่ได้เนตรสีขาวจากการต่อสู้ตรวจสีจักระและพบว่าเนตรวงแหวนของดันโซแท้จริงมาจากชิซุยเพื่อนรักของอิทาจินั้นเอง ความสามารถของเนตร คือสามารถบังคับจิตใจคนได้โดยผู้อื่นไม่รู้ตัว โดยดันโซได้ใช้เนตรควบคุมมิฟุเนะเพื่อให้เลือกตนเองเป็นผู้นำเหล่าคาเงะ นอกจากนั้น ยังสามารถใช้วิชาต้องห้ามของตระกูลอุจิวะ นั่นคือ อิซานางิ ซึ่งสามารถเปลี่ยนการโจมตีทางกายภาพให้เป็นภาพลวงตา หรือเปลี่ยนภาพลวงตาให้กลายเป็นการโจมตีทางกายภาพ เสมือนสามารถควบคุมโลกแห่งความเป็นจริงได้สบาย แลกกับความมืดของดวงตาที่จะบอดไปตลอดกาล โดยมีเวลาจำกัดในการใช้ครั้งละประมาณ 1 นาที

รายชื่อผู้ที่สามารถใช้เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผาได้แก้ไข

ฮาตาเกะ คาคาชิ
อุจิวะ มาดาระ
อุจิวะ อิซึนะ
อุจิวะ อิทาจิ
อุจิวะ ซาสึเกะ
อุจิวะ ซิซุย
อุจิวะ โอบิโตะ
หมายเหตุ ผลกระทบ จากการใช้ เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา คือจะไม่ได้รับแสงสว่างอีกต่อไป ซึ่งนั่นก็คือ ตาค่อย ๆ บอดไปทีละน้อยนั่นเอง อุจิวะ อิทาจิ ได้พูดไว้ในตอน 386 แต่เนตรหมื่นบุปผานิรันดร์ของมาดาระจะไม่ได้รับผลกระทบนี้ เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผานิรันดร์ จะใช้เนตรนี่เท่าไรก็ได้ เพราะเนตรนี่จะไม่มีวันกลับไปตาบอดอีกได้อีก แต่จะต้องใช้เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผาเหมือนกันของผู้รับที่ได้ถึงจะเบิกได้ แต่ต้องใช้เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผาที่ไม่บอดเท่านั้น แต่ในกรณีของ โอบิโตะ ที่มีเนตรกระจกเงาหมื่นบุปผาข้างขวาใช้จนไม่บอดเพราะว่ามีเซลล์ของโฮคาเงะรุ่นที่ 1 ฝังอยู่ในตัวทำให้ได้รับการฟื้นตัวการใช้มีเนตรกระจกเงาหมื่นบุปผา ทำให้ไม่บอด

ชุมชนขอร่วมพัฒนาริมน้ำเจ้าพระยา

                 คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณ 14,000 ล้านบาท เพื่อจัดทำโครงการพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีโครงสร้างคอนกรีตลักษณะคล้ายถนน 4 เลน สูง 3.25 เมตรจากระดับน้ำทะเล กว้าง 19.5 เมตร ความยาว 14 กม. ตลอด 2 ฝั่งแม่น้ำ โดยช่วงแรกสร้างตั้งแต่สะพานพระราม 7 ถึงสะพานพระปิ่นเกล้านั้น เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. กลุ่ม Friends of River สมาคมเรือไทย ตัวแทนผู้ประกอบการท่องเที่ยวย่านแม่น้ำเจ้าพระยา ภาคประชาชน นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ได้นำสื่อมวลชนล่องแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อดูสภาพความเป็นอยู่ของชุมชนริมน้ำซึ่งจะได้รับผลกระทบจากโครงการฯ โดยนายประสิทธิ์ วิชัยสุชาติ เลขาธิการสมาคมเรือไทย กล่าวว่า สมาคมฯได้สรุปผลกระทบจากโครงการนี้รวม 32 ข้อ เสนอต่อหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติ, นายกรัฐมนตรี และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องขอให้ทบทวนโครงการโดยคำนึงถึงประโยชน์ของชุมชน ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การท่องเที่ยว ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

นายยศพล บุญสม ตัวแทนกลุ่ม Friends of River กล่าวว่า ทางกลุ่มและภาคประชาชน ไม่ได้คัดค้านการพัฒนา แต่อยากให้ภาครัฐทบทวนการออกแบบซึ่งไม่ควรเหมือนกันหมดตลอดลำน้ำ เนื่องจากโครงสร้างคอนกรีตที่มีความสูงเพิ่มจากสันเขื่อนที่มีอยู่เดิม จะบดบังทัศนียภาพของฝั่ง
แม่น้ำ ชุมชนถูกโอบล้อมขาดความเป็นส่วนตัวและยังเกิดจุดอับที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของคนในชุมชน และควรให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมแสดงความเห็นด้วย.

อาบน้ำๆ

หน้าตาก่อนอาบน้ำ :))



ประวัติของ World Wide Web (Web History)

ประวัติของ World Wide Web (Web History)

การพัฒนาระบบ World Wide Web เริ่มต้นเมื่อเดือนมกราคม 1989 โดยนักวิจัยจากสถาบัน CERN (Conseil European Pour La Recherche Nucleaire) ซึ่งเป็นห้องทดลองใน เจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ชื่อ Tim Berners-Lee ได้นำความคิดเรื่อง Hypertext ของ Vannevar Bush และ Ted Nelson มาใช้ในจุดประสงค์ที่จะกระจายข้อมูลในองค์กร ซึ่งมีหลัก 3 ประการที่สำคัญคือ

การทำงานในหน้าของผู้ใช้ (User) จะต้องสามารถเรียกใช้ข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่หลากหลายในด้านระบบปฏิบัติการได้
Interface จะต้องสามารถแสดงผลกับข้อมูลหลายรูปแบบได้
ต้องสามารถให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลใน Network ได้ง่าย

ช่วงปลายปี 1990 ต้นแบบของ www ได้ทดลอง Run บนเครื่อง Next แต่ยังไม่รับความแพร่หลายนัก

มีนาคม 1991 www interface ได้ถูกใช้ใน Network โดยการลงที่เครื่อง Server ของ CERN ปลายปี 1991 ทาง CERN ได้ประกาศระบบไฟล์ใน Uernet Newsgroup และโปรแกรม WAIS ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ

ปี 1992  CERN ได้พัฒนา Web อย่างต่อเนื่อง และเริ่มแพร่หลายในหมู่นักวิจัย โดยมีจำนวน Web server ประมาณ 50 server

ปี 1993  เริ่มมีการพัฒนา Graphic Interface Viewer ขึ้นมาเป็นครั้งแรกโดยเรียกว่า Browser โดยนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัย Illinois At Urbana Champaign ชื่อว่า มาร์ค แอนเดรสัน โดยโปรแกรมนี้ชื่อว่า Mosaic ซึ่งเป็นโปรแกรมที่แสดงผลของ Web โดยใช้ระบบ Point-And-Click-Design การเจริญเติบโตของ Web ในปี 1993 เติบโตอย่างรวดเร็วทำให้มีจำนวน Server เพิ่มขึ้นเป็น 500 Server ในปลายปี 1993

ปี 1994 บริษัทต่าง ๆ เริ่มโดดเข้ามาร่วมในการพัฒนา Browser ต่าง ๆ โดยมีการเปิดตัว Browser ใหม่ ๆ หลายบริษัท เช่น Netscape Communication Corporation ทำให้ในกลางปี 1994 มี Web server เพิ่มขึ้นมาเป็น 1,500 Server มีการกำหนดมาตรฐานของ Web โดยตั้งองค์กรขึ้นมา เพื่อควบคุมพัฒนากาการของ Web ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันชื่อว่า World Wide Web Consortium หรือ W3C (www.w3c.org)

ปี 1995 การเติบโตของ Web ยังคงรวดเร็วและต่อเนื่องโดยมีจุดเปลี่ยนแปลงอยบู่ที่ Browser ของ Netscape Communication ซึ่งใช้ชื่อว่า Netscape Navigation ซึ่งมีความสามารถในการแสดงผลของ HTML (Hypertext Mark-up Language) ได้ดีขึ้น ซึ่งสนับสนุน HTML2 ของ W3C ซึ่งทำให้ Netscape Navigation คือ Browser ที่ครองตลาดกว่า 90% ในปีนั้น และการใช้ Web ทางการค้าก็ได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในปีนี้ โดยเริ่มต้นธุรกิจที่เกี่ยวกับ Web เช่น Search Engine, ISP , Web Designer เป็นต้น

ปี 1996 มีการแข่งขันกันอย่างมากในวงการ Internet และ Browser เนื่องจาก Microsoft ได้เปลี่ยนมาประกาศสนับสนุนการพัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อใช้งานร่วมกับอินเทอร์เน็ตโดยการออกโปรแกรม Browser ใหม่ชื่อว่า Internet Explorer ทำให้เกิดสงคราม Browser ขึ้นมาเนื่องจากนโยบายการแจก Browser ฟรีของ Microsoft ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของ Netscape ตกลงอย่างรวดเร็ว

ปี 1997- ปัจจุบัน มาถึงวันนี้วงการอินเทอร์เน็ตและ  Web Site  ได้พัฒนาขึ้นอย่างมากมาย มีกระแสหลายอย่างที่ผลักดันให้อินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมมากขึ้น โปรแกรม Browser ก็ได้รับการพัฒนาและมีขีดความสามารถสูงขึ้นอย่างมากมาย และ Browser ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันก็คือ Internet Explorer ซึ่งพัฒนามาถึง version 6 แล้ว ทำให้ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า อินเทอร์เน็ต อีกต่อไป

อ้างอิงhttp://code-all.blogspot.com/2010/10/world-wide-web-web-history.html

สวนสาธารณะใน กทม.

5 สวนสาธารณะสำหรับคนกรุง
              
               ถ้าพูดถึงไลฟ์สไตล์ของสาวในยุค2013 ที่อะไรก็ดูจะเร่งรีบและแข่งกับเวลาแทบทุกสิ่ง รวมไปถึงเรื่องของการออกกำลังกาย วันนี้ Women's Health จะมาแนะนำสวนสาธารณะของคนเมืองสำหรับคนที่ไม่มีเวลาเข้าฟิตเนทหรือต้องการพักผ่อนหลบมุมเพื่อหนีชิวิตที่วุ่นวายมาฝากกันคะ

              สวนลุมพินี หรือที่เรียกสั้นๆว่า “สวนลุม” เป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของประเทศไทย ด้วยเนื้อที่กว่า 360ไร่จึงทำให้สวนลุมมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมมากมาย อาทิเช่น การปั้นจักรยานน้ำกลางบึงขนาดใหญ่ในสวนลุ่ม สวนสุขภาพที่มีเครื่องออกกำลังกายหลายชนิดอีกทั้งที่สวนลุมยังมีเนื้อที่สำหรับใครที่ต้องการนำเอาจักรยานมาปั้นเพื่อสุขภาพได้อีกด้วย สำหรับการเดินทางก็ง่ายแสนง่ายเพียงแค่นั่งรถไฟฟ้าBTSมาลงสถานีศาลาแดงหรือรถไฟใต้ดินMRTสถานีสีลม

              อุทยานเบญจสิริ เป็นสวนสาธารณะขนาด 29ไร่ที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจอย่างถนนสุขุมวิท ที่นี้จะพบกับประติมากรรมชิ้นสำคัญของศิลปินระดับชาติกระจายอยู่ทั่วของสวนเบญจสิริแห่งนี้ และยังมีสนามเด็กเล่น สนามบาสเกตบอลรวมไปถึงลานกีฬาเอ็กตรีม เรียกได้ว่าเป็นสวนสาธารณะที่เหมาะสำหรับครอบครัวจริงๆ การเดินทางก็ยังสะดวกลืมปัญหาเรื่องรถติดเพียงแค่นั่งรถไฟฟ้าBTS มาลงสถานีพร้อมพงษ์ เลิกงานเย็นนี้ก็เตรียมชุดกีฬาตัวเก่งไว้ได้เลยคะ

              สวนเบญจกิติ เป็นสวนที่บึงขนาดใหญ่บนเนื้อที่ 130ไร่และจัดว่าเป็นสวนสำหรับคนเมืองโดยแท้จริงเพราะรอบข้างของสวนจะมีตึกสูงล้อมรอบเหมาะสำหรับใครที่ชอบถ่ายรูปยามค่ำคืน สำหรับคนรักสุขภาพกิจกรรมหลักๆก็คงจะเป็นการปั่นจักรยานน้ำหรือจะปั่นจักรยานรอบๆสวนก็สามารถเรียกเหงื่อได้ไม่น้อยที่เดียว การเดินทางก็ไม่ยาก เพียงแค่นั่งรถไฟใต้ดินMRTมาลงสถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ แล้วเดินอีกซักนิดก็ถึงแล้วคะ

              สวนจตุจักร เป็นสวนสาธารณะที่มีขนาด 100ไร่อยู่ติดกับตลาดนัดจตุจักร ภายในสวนมีเครื่องออกกำลังกายและทางเดินที่กว้างขวางไม่มีรถผ่านเหมาะสำหรับการวิ่งแถมยังมีลานขนาดใหญ่ที่ช่วงเย็นๆจะมีกิจกรรมเต็นแอโรบิคเหมาะกับคนทำงานที่ต้องการออกกำลังกายหลังเลิกงาน อีกทั้งสวนสาธารณะแห่งนี้ก็เดินทางสุดแสนจะสะดวกเพราะติดกับสถานีรถไฟฟ้าหมอชิตและสถานีรถไฟใต้ดินจตุจักร

               สวนวชิรเบญจทัศ หรือที่เรียกติดปากว่า ”สวนรถไฟ” ด้วยความที่เป็นสวนขนาดใหญ่มีพื้นที่ 375ไร่จึงทำให้สวนรถไฟมีพื้นที่สีเขียวสำหรับคนกรุงเทพอย่างเหลือเฟือ และยังมีกิจกรรมให้ทำมากมาย เช่นปั่นจักรยานชมสวนหรือถ้ามากันแบบครอบครัวก็มีสวนผีเสื้อที่มีผีเสื้อนานาพันธุ์ให้ศึกษาหาข้อมูลยังไม่รวมถึงสถานที่จำลองการจราจรสำหรับเด็กที่จะทำให้เด็กได้เรียนรู้กฏจราจรแบบง่ายๆหรือถ้าใครที่ชอบส่องนกภายในสวนรถไฟแห่งนี้มีจัดกิจกรรมทุกเสาร์อาทิตย์ สำหรับการเดินทางมาสวนรถไฟมีได้หลายทางทั้งเดินหรือจะขับรถส่วนตัวมาก็สะดวกเพราะที่นี้มีจอดรถไว้คอยให้บริการ

วันออกพรรษา



วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11
ประวัติความเป็นมา

         วันออกพรรษา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ เป็นวันที่พระภิกษุพ้นข้อกำหนดทางวินัยที่จะอยู่จำพรรษา นับตั้งแต่วันเข้าพรรษาเป็นต้นมา และสามารถจาริกไปค้างแรมที่อื่นได้ ซึ่งจะมีประเพณีที่เกี่ยวข้อง คือ การตักบาตรเทโวโรหนะ คือวันถัดจากวันออกพรรษา ๑ วัน ซึ่งพุทธศาสนิกชนมักจะตักบาตรในวันนี้ ด้วยนิยมว่าเป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้า เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากเสด็จไปโปรดพุทธมารดาอยู่ ๓ เดือน และถัดจากออกพรรษา ๑ เดือน ถือเป็น เทศกาลกฐิน ที่จะทำบุญถวายผ้ากฐินตามวัดต่าง ๆ เมื่อเทศกาลเข้าพรรษาได้ผ่านพ้นไปถึง ๓ เดือน ก็จะเป็นช่วงเวลาของ "วันออกพรรษา" ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดระยะการจำพรรษา หรือออกจากการอยู่ประจำที่วัดในช่วงฤดูฝนตลอด ๓ เดือนของพระภิกษุสงฆ์ โดย วันออกพรรษา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า "วันมหาปวารนา" คำว่า "ปวารนา" นั้นแปลว่า อนุญาตหรือยอมให้ โดยในปีนี้ วันออกพรรษา ตรงกับวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๖
ทั้งนี้ วันออกพรรษา พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรมใหญ่ที่เรียกว่า มหาปวารณา ใน วันออกพรรษา ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ เนื่องจากในระหว่างที่เข้าพรรษาอยู่ด้วยกัน พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข และการให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนก็จะทำให้รู้ข้อบกพร่องของตน อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันได้ด้วย พระผู้ใหญ่ก็กล่าวตักเตือนพระผู้น้อยได้ และพระผู้มีอาวุโสน้อยก็สามารถชี้แนะถึงข้อไม่ดีของพระผู้ใหญ่ได้เช่นกัน แม้พระผู้ใหญ่จะมีอาวุโสมากกว่า แต่ท่านก็มิได้สำคัญตนผิดคิดว่าท่านทำอะไรแล้วถูกไปหมดทุกอย่าง เพื่อเป็นเครื่องมือชี้ให้เห็นวิธีการคอยสังวร คือ ตามระวัง ไม่ประมาท ไม่ยอมให้ความเลวร้ายเกิดขึ้นได้ เหมือนล้อมรั้วไว้ก่อนที่วัวจะหาย ไม่ว่าจะอยู่ในเทศกาลเข้าพรรษาหรืออกพรรษา พระท่านจะประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ตามระบอบของพระธรรมวินัยอยู่ตลอดเวลาสำหรับ คำกล่าว ปวารณา มีคำกล่าวเป็นภาษาบาลีเป็นดังนี้ "สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฎเฐนะ วา สุเตนะ วาปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัส์มันโต อะนุกัทปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปฎิกะริสสามิ" มีความหมายว่า ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ กระผมขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นหรือได้ฟังก็ตาม ขอท่านทั้งหลายโปรดอนุเคราะห์ ว่ากล่าวตักเตือนกระผมด้วย เมื่อกระผมมองเห็นแล้ว จักประพฤติตัวเสียเลยใหม่ให้ดี เมื่อทำพิธี วันออกพรรษาแล้ว พระภิกษุสงฆ์สามารถจาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ หรือค้างคืนที่อื่นได้โดยไม่ผิดพระพุทธบัญญัติ และยังได้รับอานิสงค์ก็คือไปไหนไม่ต้องบอกลา ไม่ต้องถือผ้าไตรครบชุด มีสิทธิ์รับลาภที่เกิดขึ้นได้ และมีโอกาสได้อนุโมทนากฐิน ที่จะสามารถขยายเวลาของอานิสงค์ออกไปอีก ๔ เดือน
ประเพณีเกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา

กิจกรรมต่างๆ ที่พุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติใน วันออกพรรษา
๑.ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ

๒.ฟังพระธรรมเทศนา รักษาศีล ถวายสังฆทาน ถวายภัตตาหาร หรือจัดดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาที่วัด และฟังพระธรรมเทศนา

๓.ร่วมกุศลธรรม "ตักบาตรเทโว"

๔.ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการและ ประดับธงชาติและธงธรรมจักรตามวัด และสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา

๕.ตามสถานที่ราชการ สถานที่ศึกษาและที่วัด ควรจัดให้มีนิทรรศการ การบรรยาย หรือ บรรยายธรรม เกี่ยวกับวันออกพรรษาฯลฯ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนและผู้สนใจทั่วไป

๖.งดการเที่ยวเตร่ ละเว้นอบายมุข รวมทั้งละเว้นการฆ่าสัตว์และบริโภคเนื้อสัตว์

ที่มาข้อมูลจาก

http://hilight.kapook.com/

http://www.dhammathai.org/